ทำความารู้จักกับถุงยางอนามัย

ว่ากันด้วยเรื่องของความต้องการของชีวิตประจำวันของมนุษย์เรานั้น เป็นอะไรที่จะอยู่คู่กับเราตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน เรื่องการพักผ่อนและเรื่องของความต้องการทางเพศ ก็เป็นธรรมชาติที่เราเป็นกันอยู่ทุกๆ คน ซึ่งปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดกับผู้ที่ไม่พร้อมและอ่อนวัยเกินกว่าจะมีกำลังรับผิดชอบนั้นก็คือ “เรื่องท้องก่อนแต่ง” นั้นเองครับ ซึ่งสิ่งที่ช่วยคุมกำเนิดได้เป็นอย่างดีที่เรารู้จักกันนั้นก็คือ “ถุงยางอนามัย” นั้นเองครับ วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไป “ทำความารู้จักกับถุงยางอนามัย” กันครับ จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น…เราไปชมกันเล้ยย!!!

ถุงยางอนามัยเป็นอย่างไร?

ถุงยางอนามัย (Condom) มาจากภาษาละติน แปลว่า ภาชนะที่รองรับ ทำด้วยวัสดุจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน โดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายใช้สวมครอบอวัยวะเพศของตนเอง สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน และเอดส์ นั้นเองครับ โดยถุงยางอนามัยชายควรใส่ขณะองคชาตแข็งตัวก่อนการร่วมเพศ โดยใช้เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิเข้าไปในร่างกายของคู่นอน ถุงยางอนามัยชายมักทำจากยางพารา หรืออาจทำจากโพลียูรีเทนหรือลำไส้แกะ ถุงยางอนามัยชายมีข้อดีตรงที่ใช้ง่าย พกพาสะดวก และมีผลข้างเคียงน้อย สำหรับผู้แพ้ยางพารา ควรใช้แบบที่ผลิตจากโพลียูเทนหรือวัสดุสังเคราะห์อื่นแทน ถุงยางอนามัยสตรีมักทำจากโพลียูรีเทนและไม่สามารถใช้ซ้ำได้

ถุงยางอนามัยทำมาจากอะไร?

ถุงยางอนามัยที่มีการผลิตจำหน่ายในโลกมี 3 ชนิด ซึ่งได้แก่…

●ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom) วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียกว่า caecum มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างตั้งแต่ 62 – 80 มิลลิเมตร สวมใส่ไม่รัดรูปแต่ไม่สามารถยืดตัวได้ ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์ สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ แต่ในเมืองไทยไม่มีการผลิตจำหน่าย เนื่องจากมีราคาสูง

●ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom) ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติมีราคาถูก มีความบางและยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ ขนาดความกว้างน้อยจึงน้อยกว่า เวลาสวมใส่ให้ความรู้สึกกระชับรัดแนบเนื้อ

●ชนิดที่ทำจาก Polyurethane (ถุงยางพลาสติก) ปัจจุบันมีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane ถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีและคงทนกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้เท่าที่มีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา

ขนาดของถุงยางอนามัยแบ่งกันอย่างไรบ้าง?

ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขปี 2535 คือ ขนาดความกว้างตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56 มิลลิเมตร และความยาววัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิดไม่รวมส่วนที่เป็นติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990 สำหรับตลาดในเมืองไทยมีอยู่ 2 ขนาด ได้แก่
●ขนาดใหญ่ คือ มีขนาดความกว้าง 49 มิลลิเมตร และมีขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ขนาดนี้เหมาะกับคนไทยมากที่สุด
●ขนาดยักษ์ หรือขนาด 52 มิลลิเมตร เช่น มีขนาดความกว้าง 52 มิลลิเมตร และมีขนาดความยาวเท่ากับ 180 มิลลิเมตร เป็นต้น

ประโยชน์โดยตรงของการใช้ถุงยางอนามัยมีอะไรบ้าง?

●ใช้ในนการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ ป้องกันโรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี หูดหงอนไก่ หนองในเทียม หนองในแท้ พยาธิในช่องคลอด ซิฟิลิส โรคเริม แผลริมอ่อน เป็นต้น

●ใช้ในนการคุมกำเนิด การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดี เพราะมีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ หากเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม ใช้อย่างถูกวิธีฉะนั้น เพื่อช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นั้นเองครับ

และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ทำความารู้จักกับถุงยางอนามัย” ที่เราได้นำมาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความข้างต้นนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กันนะครับ